TVXQ Fic (Yaoi) BeGin (2U) Pt. Yun - TVXQ Fic (Yaoi) BeGin (2U) Pt. Yun นิยาย TVXQ Fic (Yaoi) BeGin (2U) Pt. Yun : Dek-D.com - Writer

    TVXQ Fic (Yaoi) BeGin (2U) Pt. Yun

    ผม..เฝ้ามองใครบางคนมาตลอดเวลา 3 ปี ได้แต่ตอกย้ำกับตัวเองว่าแค่ พี่น้อง ไม่มีสิทธิ์มากเกินไปกว่านั้น เมื่อผมไม่สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความสัมพันธ์ที่เรียกว่าพี่น้องและเพื่อนร่วมงาน ออกไปได้

    ผู้เข้าชมรวม

    2,114

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    2.11K

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 พ.ย. 50 / 00:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ขออนุญาติ เอาลิงค์มาแปะแบบนี้แทนนะคะ ... เพราะอีก Slide อีกคนเขียนอ่ะ
    เอาเรื่องของเค้ามาอัพ มันไม่งาม ถึงจะรู้จักกันก็เถอะ เหอๆๆ

    เรื่องนี้เป็นแบบ 2 Slide นะคะ คือจะเขียนเฉพาะในมุมของยุนเท่านั้น 
    ง่ายๆ ก็คือ มันจะมีเรื่อง BeGin ในมุมของมิคด้วย ...
    มิครู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ จะเล่าในตอนนั้นค่ะ
    แต่เขียนโดยPrinceGod (คนที่เขียน A Story of the Last Love) .. 
    ถ้าอยากอ่านก็บอกมานะคะ จะไปเซ้าซี้เจ๊แกให้แปะ แล้วจะเอาลิงค์มาลงให้ค่ะ

    ช่วงนี้ Ft. กันหลายเรื่องค่ะ เหตุเกิดจากความขี้เกียจ...หุหุหุ
    มันทำให้เขียนแบบแง่มุมเดียว ขี้เกียจมาคิดแทนว่าอีกผ่ายรู้สึกยังไง
    คนเรามันก็แบบนี้  ไม่มีใครรู้ใจคนอื่นมากไปกว่าใจตัวเอง
    (จะออกเพลงละ..ขอไประงับสติหน่อยค่ะ.. -_-")

    BeGin Part Of Yoocheon http://my.dek-d.com/dek-d/story/view.php?id=357148 ........

    เรื่องราวของ แจ กะ มิน .. BeSide ค่ะ http://my.dek-d.com/omaeyanai/story/view.php?id=356850 


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ผม...เฝ้ามองใครบางคนมาตลอดเวลา 3 ปี ได้แต่บอกย้ำกับตัวเองว่าแค่ “พี่น้อง” ไม่มีสิทธิ์มากเกินไปกว่านั้น และทุกครั้งที่เขาล้มลง...ผมเอื้อมมืออกไปสุดแขนและทำได้แค่เพียงตบไหล่เค้า บอกให้เค้าลุกขึ้นยืน ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น เมื่อผมไม่สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความสัมพันธ์ที่เรียกว่าพี่น้องและเพื่อนร่วมงาน ออกไปได้ ...

      ผมเหนื่อยใจกับความขี้ขลาดของตัวเอง...ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มต้น ก้าวท้าวเดินข้ามผ่านเส้นแบ่งนี้ไป ... เส้นบางๆที่กว้างเหลือเกิน …

      ผมอาจจะดูเหมือนเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ แต่ช่างน่าหัวเราะนัก ที่เรื่องแค่นี้ ตัวผมเองกลับไม่กล้าเริ่มต้น ผมได้แต่เก็บความรู้สึกที่มันสะสมมากขึ้นทุกวันเอาไว้ในอก จนมันแทบจะระเบิดออกมา...ทุกๆครั้งที่ผมยิ้มให้เค้า แล้วเค้ายิ้มตอบผมกลับมามันทำให้หัวใจของผมพองโตไปได้หลายวัน...เพราะฉะนั้นผมถึงกลัว...

      กลัวว่ารอยยิ้มที่ผมเคยได้รับมันจะหายไป ... เราจะมองหน้ากันไม่ติด และเค้าจะลำบากใจกับความรู้สึกของผมถ้าหากผมเปิดเผยมันออกไป

      **********************
      “วันนี้ยูชอนดูแปลกๆนะยุนโฮ” แจจุงบอกผมให้ดูท่าทีที่ผิดสังเกตไปของยูชอน อันที่จริงผมเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่เช้าแล้ว ดูไม่มีแรงยังไงชอบกล หน้าก็ดูซีดๆ แต่ถามแล้วเจ้าตัวก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ผมจึงได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง

      “...เข้าฉากครับ...จะเป็นการซ้อม ก่อน 1 รอบนะครับ...” เสียงโปรดิวเซอร์ กำกับเวทีดังก้องผ่านทางโทรโข่งอันเล็ก (-_-) ผมหันไปมอง ยูชอนที่กำลังเดินโรยแรงไปที่เวทีด้วยความเป็นห่วง

      “แสง....ดนตรี...พร้อม!! แอ๊คชั่น” หลังจากที่เราออกมายืนกันตามตำแหน่งแล้ว เสียงดนตรีเพลงคุ้นเคยก็ดังขึ้นตามเสียงของผู้กำกับ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมเห็นยูชอนเต้นผิดจังหวะ...ดูท่าตัวเค้าเองก็หงุดหงิดกับตัวเองอยู่ไม่น้อย...เพราะเค้าเป็นคนที่ค่อนข้ างจริงจังกับงาน...เมื่อถึงคิวที่เราต้องเดินสวนกันตอนเปลี่ยนสเตป ผมบีบไหล่เค้าเป็นการปลอบใจ...
      “ ไม่เป็นไรนะ...ลองใหม่อีกที” ผมคงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่านี้…สิ่งที่ผมจะพูดออกไปได้

      “พัก ครับ….ยูชอนครับ..ผิดจังหวะอยู่นะครับ ครั้งหน้าถ่ายจริงพยายามหน่อยนะครับ” เสียงผู้กำกับสั่งพัก ... ผมรีบเดินไปดูยูชอนทันที .. หน้าซีดลงกว่าเดิมมาก และดูท่าทางหายใจไม่เป็นปกติ

      “โอเคมั้ย...พี่เห็นหน้านายซีดๆ ไม่สบายรึป่าว” ผมบีบไหล่ยูชอนเบาๆ...หวังว่าความห่วงไยที่ผมมีให้เค้ามันจะส่งผ่านไปถึงหัวใจของเค้าซักนิด ...

      ...ผมทำได้แค่นี้จริงๆ ... นอกจากความรักที่มีให้แต่ไม่สามารถบอกออกไปได้แล้ว ผมไม่สามารถจะทำอะไรเพื่อเค้าได้อีกแล้วจริงๆ

      “...ไม่เป็นไรครับ..ผมยังไหว...ถ่ายต่อเถอะครับ” ยูชอนปาดเหงื่อทิ้ง แล้วจึงหันไปบอกกับทีมงาน ผู้กำกับจึงสั่งเดินเทป...ผมได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ทำไมถึงไม่รู้ตัวเองบ้างเลย ว่าทำให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงจนแทบจะทำงานไม่ได้ ยูชอนยังฝืนที่จะทำงานต่อไป...ผมได้แต่เหลือบมองเค้าเป็นพักๆ เพราะไม่อยากให้เค้าคิดว่า ผมกลัวว่าเค้าจะทำผิดพลาด หรือเป็นตัวถ่วง..

      แต่จะให้ทำยังไงได้ ไม่ว่าจะเพราะหน้าที่หัวหน้าวง หรือ คนที่แอบรัก ผมก็ยังเป็นห่วงเค้าอยู่ดี

      ร่างกายที่ถูกฝึกซ้อมอย่างหนัก จนการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างอัตโนมัติ…ผมแทบจะไม่ได้ละสายตาจากยูชอนเลย…นอกจากบางครั้งที่ถึงท่อนที่ผมจะต้องร้อง และต้องมองกล้อง …
      อยู่ๆดีๆ ยูชอนก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาผม
      “ยูชอน!!! ” ผมไปถึงตัวยูชอนเป็นคนแรก แต่ก็ยังช้ากว่าที่ใจคิด … ความชุลมุนเกิดขึ้น เมื่อทีมงานต่างก็วิ่งเข้ามาเพื่อดูยูชอน…ผมกลัวว่าเค้าจะได้รับอากาศไม่เพียงพอ จึงต้องรีบพยุงยูชอนไปนั่งพัก ไม่นานนัก แจจุงก็วิ่งมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ของยูชอนและควานหา ยาขยายหลอดลมที่ยูชอนใช้อยู่ประจำส่งให้ยูชอน

      “ พ่นซ่ะก่อน...” แจจุงพูดกับยูชอน

      แจจุงมักจะเป็นคนที่จดจำรายละเอียดของทุกๆคนได้ดี ใครเป็นอะไร เก็บอะไรไว้ตรงไหน … ผมซะอีกที่นั่งบื้ออยู่ได้..คิดแล้วก็น่าโมโหตัวเองนัก ถ้าแจจุงไม่วิ่งเข้าไปหยิบเจ้ายาขยายหลอดลมนั่นมาจากห้องแต่งตัว ยูชอนก็ยังคงทรมานอยู่แบบนี้

      “หอบกำเริบอีกแล้ว...” ผมบอกยูชอนที่กำลังนั่งหายใจติดขัดอยู่ข้างๆ
      “คงถ่ายต่อไม่ได้แล้วล่ะ...พี่ว่านายกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า” ปอยผมชุ่มด้วยเหงื่อตกลงมาปรกหน้าของยูชอนจนรุงรัง ผมใช้มือเกลี่ยมันออก... สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก

      “ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวนั่งพักสักหน่อย คงดีขึ้น...ผมไม่อยากให้เสียงาน” ถึงยูชอนจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ผมก็ไม่ยอมเช่นกัน

      “เมื่อกี้ก็ว่า ไม่เป็นไร แล้วก็ล้ม นายร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ได้พักผ่อน ก็ไปกันใหญ่ ผมได้แต่ถอนใจเบาๆ ดูท่าทางเจ้าตัวคงจะไม่ยอมง่ายๆ หากบอกให้กลับไปด้วยความสมัครใจ
      “กลับไปพักเถอะ...งานวันนี้ไม่มีอะไรมากเสียหน่อย แค่โชว์ตัว ขาดไปเสียหนึ่งเพราะว่าป่วย ไม่มีใครว่าหรอก...ทางนี้เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง” ผมคงต้องใช้วิธีสุดท้ายคือบังคับ...

      “ แต่ว่า...” ยูชอนทำท่าจะค้าน นั่นไงไม่ยอมง่ายๆจริงๆด้วย ผมหันไปสบตากับแจจุงที่อยู่ข้างๆ
      “จริงของยุนโฮ พี่ว่านายกลับไปพักเถอะ .... ไม่อย่างนั้น พวกเราที่เหลือก็จะต้องคอยเป็นห่วงนาย แล้วงานก็จะออกมาไม่ดี...” แจจุงบอกเหตุผลที่ดูเหมือนจะตรงไปซักหน่อย แต่ก็เพราะอยากให้ยูชอนกลับไปพัก อันนี้ผมเข้าใจดี เจ้าพวกที่เหลือก็ดูเหมือนจะรู้งานดี พากันตะโกนห้ามยูชอนเป็นการใหญ่

      “ยูชอน นายอยากกลับไปดีๆ หรือจะให้พวกชั้นจับนายมัดแล้วส่งนายกลับล่ะ” ประโยคนี้เป็นของจุนซู เพื่อนซี้ของยูชอนนั่นเอง...

      เมื่อไม่มีทางเลือก ยูชอนก็ต้องกลับคอนโดไปพัก ตามที่เพื่อนๆบอก ผมโล่งใจที่ยูชอนกลับไปพัก

      *********************

      ไม่ใช่ฝืนทนทำงานทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมอยู่แบบนี้ แต่อีกใจก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนั้น ถ้าเกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีกจะทำยังไง แถมยูชอนยังกลัวความมืด กลัวผี กลัวการอยู่คนเดียว แบบเข้าขั้นโฟเบี่ยร์ .....
      “ห่วงมากก็ตามกลับไปดูแลสิ” แจจุงนั่งอยู่ข้างๆผมพูดขึ้นในขณะที่ผมคิดไปต่างๆนาๆ ท่าทางของผมมันคงจะดูร้อนรนมากจะแจจุงสังเกตได้..
      “ห่วง...อะไร...ใคร” ผมรู้สึกตกใจที่แจจุงพูดเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร

      “ยุนโฮ...ชั้นกับนายรู้จักกันมากี่ปี...นายคิดอะไรทำไมชั้นจะไม่รู้” แจจุงหันมายิ้มให้ผม ใบหน้าสวยงามที่ผมเห็นจนชินตา ไม่ว่าจะกี่ปี แจจุงก็ยังเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมที่สุด…. ผมซะอีกที่ไม่เคยจะรู้เลยว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคิดอะไรอยู่….
      “ชั้น....” ผมได้แต่อ้ำอึ้ง

      “ต่อให้นายทำเพื่อยูชอนมากมายแค่ไหน แต่นายไม่กล้าที่จะบอกยูชอนไปว่านายรู้สึกยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์…มันก็เหมือนเวลาที่นายจะไปที่ไหนซักแห่งนั่นแหละ…ถึงนายจะเตรียมข้าวของ เตรียมตัวมากมายเพียงใด แต่ตราบใดที่นายยังไม่เริ่มต้นออกเดิน นายก็จะไปไม่มีทางไปถึงจุดหมาย” ถึงปกติ แจจุงจะเอาแต่แกล้งคนอื่น แต่สำหรับผม แจจุงเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด

      คงเป็นเพราะเค้าผ่านเรื่องลำบากมาเยอะ...เค้าจึงเลือกที่จะแสดงออกและมีความสุขกับมุมที่สดใสในชีวิต มากกว่าที่จะหมกตัวอยู่ในเงามืดของคำว่าอดีตที่แสนเจ็บปวด

      “ชั้นกลัวว่า เราจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ ถ้าเกิดยูชอนไม่ได้คิดเหมือนกัน แล้วต่อไปวงเราจะเป็นยังไง ชั้นไม่อยากเป็นสาเหตุให้วงเราต้องแตกกันน่ะ” ในที่สุดผมก็เล่าความรู้สึกของผมให้แจจุงฟัง...ซึ่งแจจุงก็รับฟังมันเหมือนเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ เพราะเค้ารู้เรื่องนี้มานานแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่ได้เอ่ยปากก็ตามที

      “ยุนโฮ…ชั้นขอบอกอะไรนายซักอย่างจะได้ไม๊”
      “อะไร?”
      “ทำคืนนี้ให้ดีที่สุด…และอย่าหยุด ถ้ายังไม่ถึงจุดสุดยอด” แจจุงพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย...จนผมคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงจัง…ผมชะงัก แล้วหันไปมองหน้าเย็นชาของแจจุงช้าๆ
      “นายนี่น๊า…เป็นเรื่องเป็นราวเกิน 5 นาทีจะได้ไม๊เนี่ย”
      แจจุงได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอแล้วทิ้งผมไว้กับความคิดของตัวเอง…แล้วเดินไปนั่งกับชางมิน…ที่นั่งอยู่ห่างออกไป

      ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ กลับไปที่คอนโดทันทีที่เสร็จงาน โดยไม่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเสร็จงาน เพื่อดูแลยูชอน

      “ชางมิน…การได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุขมันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ…แต่ทำไมพี่ถึงรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลาล่ะ…ทำไมพี่ถึงรู้ส ึกว่าตัวเองไร้ค่าเสียเหลือเกิน” ร่างบางย่อตัวลงนั่งข้างๆผู้เป็นน้องอย่างหมดเรี่ยวแรงก่อนจะเอ่ยออกมาเหมือนระบายความในใจ
      “คงเป็นเพราะ เวลาพี่ลืมตา…พี่เอาจับจ้องแต่คนที่พี่รัก…ไม่เคยมีซักครั้งที่พี่จะละสายตามองไปรอบๆน่ะสิ” ใบหน้าอ่อนโยน เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดบันทึกเล่มเล็กนั่น
      “แล้วยังไง”
      “พี่ถึงมองไม่เห็นคนอื่นที่อยู่รอบๆตัวพี่…ความรักของคนที่รักพี่…คนที่เผ้ามองพี่อยู่ตลอดเวลาในขณะที่พี่เฝ้ามองคนอื่น… ”
      “ชางมิน!!…นาย” ใบหน้าสวยเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในขณะที่คนถูกเรียกก็ยังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงเขียนบางอย่างลงในสมุดต่อ…

      ************

      ผมเปิดประตูห้องพัก อันเงียบสงัดเข้ามาพบกับความมืดและเงียบงัน... แสงไฟจากห้องทำงานส่องรอดประตูออกมา...ดูท่าทางยูชอนจะไม่ได้กลับมาพักผ่อน อย่างที่อยากให้เป็น ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไป
      ยูชอนฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงาน...เฮดโฟนยังคงถูกใส่เอาไว้ที่หู คงหลับไปทั้งอย่างนั้น ใบหน้าของยูชอนยามหลับช่างดูบริสุทธิ์ ผมย่อตัวลงนั่งตรงหน้ายูชอนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง ผมยกมือขึ้นสัมผัสแก้มใสนั้นอย่างลืมตัว...

      “พี่ต้องทำเพื่อนายขนาดไหน นายถึงจะรู้ตัวซะทีนะยูชอน...” แทบจะอดใจไม่ไหว ริมฝีปากแดงเรื่อนั้นช่างเย้ายวนให้ผมสัมผัส แต่ก่อนที่จะได้เชยชิม ผมก็ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนมากระซิบเรียกที่ข้างๆหูเบาๆแทน...

      หากยังหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่แบบนี้ ผมคงจะอดใจไม่ไหวแน่ๆ
      “ยูชอน!!..ยูชอน!!...” ยูชอนเริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะลืมตาเบิกกว้าง กระพริบเร็วๆ 2-3 ที เหมือนกำลัง งง
      “ พี่ยุนโฮ!! มาได้ไง” ยูชอนร้องออกมาด้วยความตกใจ มองหน้าผมสลับกับนาฬิกาบนผนังหลายรอบ
      “ ไม่ไปกินเลี้ยงกับทีมงานหรอครับ...” เจ้าตัวถามด้วยความแปลกใจ..ที่เห็นผมกลับมาก่อน

      “เป็นห่วงนาย...พี่เลยขอกลับมาก่อน...” ผมตอบออกไป

      เค้าจะรู้รึเปล่านะ เวลาที่ผมแทนตัวเองว่า ‘พี่’ ที่ไร ผมรู้สึกขมขื่นใจจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด มันเหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเองทุกครั้งว่าผมคงเป็นได้เพียงแค่พี่ชายเท่านั้น ...

      “ว่าแต่นายเถอะ.. มานอนทำไมตรงนี้ บอกให้พักผ่อน ทำไมไม่ไปนอนในห้อง” ผมลูบหัวยูชอนเบาๆ…

      “นอนไม่หลับ เลยมานั่งแต่งเพลงต่อ จนแล้วจนรอดก็แต่งไม่ออก เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้...” พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตา

      “นายนี่น๊า~~… ชอบทำตัวให้พี่เป็นห่วงอยู่เรื่อย” ผมดึงแขนยูชอนขึ้น แล้วพาเดินออกจากห้องทำงาน ไปที่ห้องนอน
      “ ถึงต้องกลับมาดูนี่ไง...ระหว่างที่พวกนั้นยังไม่กลับ คืนนี้พี่จะเฝ้านายเอง...เอ้า!!...นอนซ่ะ” ผมผลักยูชอนลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดให้จนถึงคอ
      “ ขอไปอาบน้ำให้สดชื่นก่อนน่ะ...แล้วจะมานั่งเฝ้าทั้งคืนเลย” ผมยิ้มให้ยูชอน แล้วเดินออกมาที่ห้องตัวเอง เพื่ออาบน้ำ อย่างที่บอก

      นอกจะดูแลในฐานะพี่ชายแล้ว ผมจะยังทำอย่างอื่นเพื่อยูชอนได้ไม๊นะ ผมจะเริ่มต้นมันจากตรงไหนดี ...

      ผมก็กลับมา นั่งลงที่ข้างเตียงเมื่ออาบน้ำเสร็จ แล้วก็พบว่ายูชอนยังไม่หลับ แต่กลับนอนมองผมตาแป๋วเชียว
      “ ยังไม่หลับอีกรึเรา... นอนดึกจนเคยตัวล่ะสิ...” ผมหัวเราะในลำคอ

      “ คงงั้นมั้ง... พี่ไม่ต้องอยู่เฝ้าก็ได้...ไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันไม่ใช่รึ”

      “ ยังไม่ง่วงเหมือนกัน... นั่งเฝ้านายดีกว่า..เผื่อนายอยากได้อะไร พี่จะได้ช่วยเดินไปหยิบให้ไง” เหตุผลที่พอจะเข้าทีที่สุดที่ผมพอจะนึกออกในตอนนี้…

      มันคงจะดีกว่าที่ผมจะบอกว่า “เป็นเพราะ พี่อยากจะมองหน้านายอย่างนี้ทั้งคืนน่ะสิ…” ผมหยิบหนังสือที่ถือติดมือมาจากห้องรับแขกขึ้นมาทำท่าเหมือนจะอ่าน ที่จริงแล้ว ผมเพียงแค่เอามันมาปิดบังใบหน้าอันแดงซ่าน และสายตาของผม เวลาที่ผมแอบมองยูชอนเท่านั้นเอง..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร

      “ผมถามอะไรหน่อยสิ....”
      อยู่ดีๆ ยูชอนก็เอ่ยขึ้นมา…ผมนึกว่าเค้าหลับไปแล้วซะอีก หรือว่าเค้าจะสังเกตเห็นว่าผมแอบมองเค้าอยู่…ผมใจเต้นระทึก

      ผม วางหนังสือลง ลุกขึ้นเอาท่อนแขนวางซ้อนที่ข้างเตียง แล้วซบหน้าลงไป “ว่ามาสิ...”

      “...พี่...ทำแบบนี้...ทำดีกับผมแบบนี้...ทำไม”

      ผมได้แต่ เงียบ...ผมอึ้ง …เหตุผลอะไรที่บอกไปแล้วมันจะฟังดูดีที่สุด...ทั้งที่ใจของผมอยากจะบอกว่า…เป็นเพราะยูชอนเป็นคนที่ผมรักน่ะสิ..แต่ปากมันกลับพ ูดออกไปว่า
      “คงเพราะ...นายเป็นน้องที่พี่...รักมากที่สุด..ละมั้ง” พูดจบผมก็คว้าหนังสือขึ้นมาทำท่าอ่านต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น... แต่สายตาของผมมองไม่เห็นตัวหนังสือใดๆในหน้ากระดาษเลย...ม่านน้ำตาที่ผมพยายามจะกลั้นเอาไว้มันบดบังสายตาของผมเอาไว้ทั้งหมด…

      นายเป็นน้องที่พี่รักที่สุด…คำที่ผมบอกยูชอนไป…ถึงแม้จะยากเพียงไหน ผมก็ต้องบอกตัวเองให้คิดแบบนั้นเหมือนกัน

      รุ่งเช้า...

      “แจจุง…ดูเหมือนยูชอนจะมีไข้นะ…นายช่วยต้มโจ๊กให้หน่อยสิ…สงสัยวันนี้คงต้องพักอีกวันแล้วล่ะ” เมื่อผมออกมาจากห้องของยูชอน ก็เจอกับแจจุงที่หน้าห้อง..เมื่อคืนนี้หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอไรกันต่อ…ผมนั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน โดยที่มีแจจุงแวะเข้าไปดูบ้างเป็นครั้งคราว

      “ไม่ต้องบอกก็ต้องทำอยู่แล้วน่า…นายเองนั่นแหละ ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปทำงาน…ที่เหลือเดี๋ยวชั้นจัดการเอง” พูดจบ แจจุงก็เดินหายเข้าไปในห้องของยูชอน ถ้าไม่มีแจจุงคอยดูแล วงเราคงมีความเป็นอยู่ที่แย่กว่านี้น่าดู

      เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ...พวกเราก็พร้อมที่จะออกเดินทางเพื่อไปทำงาน จุนซูและชางมิน ยังคงร่าเริงและทะเลาะกันเรื่องของกินเหมือนเดิม…ผมมองดูที่ว่างๆที่เป็นที่ของยูชอนระหว่างที่เรานั่งทานอาหารเช้ากัน…
      “ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไม๊ จุนซู…” เสียงแจจุงถามจุนซู ก็เหมือนทุกๆวัน จุนซูมักจะชอบลืมอะไรต่อมิอะไรเสมอ…แต่วันนี้จุนซูกลับไม่ได้ลืมอะไร…อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ในเช้านี้ คือ แจจุงไม่ชวนทะเลาะ หรือหาเรื่องแกล้งชางมินอย่างวันที่แล้วๆมา…

      “ชั้นขอแวะเข้าไปดู ยูชอนก่อนนะ…พวกนายไปรอที่รถเลย” ผมค่อยๆเปิดประตูห้องเข้าไป ในขณะที่พวกเพื่อนๆ พากันทะลอยออกจากห้องไป..โดยมีแจจุงหันมามองผมแว๊บนึง ก่อน ออกจากห้องไป

      “ ลืมอะไรอีกล่ะจุนซู...” ยูชอนตะโกนถามทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตา…ผมได้แต่นึกขำในใจ จึงไม่ได้ตอบอะไรออกไป…จนอีกฝ่ายๆค่อยๆลืมตาขึ้นมาดู

      “ มาดูให้หายเป็นห่วง สักหน่อย แล้วค่อยไป”

      “พี่ยุนโฮ!!” ยูชอนร้องเสียงดัง จนไอ…

      “ ใจเย็นๆ...ตกใจอะไรกัน...” ผมกดมือทาบลงที่หน้าอกเบาๆ เพื่อให้ยูชอนนอนลงอย่างเดิม
      ผมทาบหลังมือลงที่หน้าผากยูชอน “ ตัวอุ่นๆ... ปวดหัวรึป่าว”
      เจ้าตัวส่ายหัวดิ๊ก..เหมือนเด็กที่กลัวหมอ จนผมนึกขำ
      “ไม่ไปโรงพยาบาลแน่น่ะ”

      “ถามเหมือนพี่แจจุง...เป็นไรมากหรอกครับ ...พักสักหน่อยเดี๋ยวก็หายเอง” เสียงแหบอยู่แล้ว ยิ่งเบาและแหบลงกว่าเดิม

      “อื้อ..ตามใจ” ผมถอนใจ 1 ที …ลองบอกว่าไม่แล้ว..ไม่ว่าจะพูดจนปากเปียกปากแฉะอย่างไร ยูชอนก็ก็ไม่เปลี่นใจอยู่ดี…

      “ช่วงบ่ายๆจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนน่ะ...วันนี้คงกลับกันดึกสักหน่อย อยู่คนเดียวได้น่ะ”

      “ครับ..อยู่ได้” คนป่วยยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ ผมจึงต้องจำใจเดินออกมา

      **********************************************
      “แจจุง…นายว่าชั้นจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อนยูชอนดีล่ะ” ผมถามแจจุงที่นั่งไขว่ห้างอ่านสคลิปอยู่ข้างๆ… เราถ่ายเสร็จไปรายการนึงแล้ว กำลังจะเริ่มต้นอัด อีกรายการ นี่ก็เกือบจะเที่ยงอยู่ระหว่างพักทานอาหารเที่ยง แต่ผมไม่มีกระจิตกระใจที่จะทานอะไรเลย เพราะเป็นห่วงยูชอนที่นอนป่วยอยู่คนเดียวที่ห้อง รู้แบบนี้ บังคับให้ไปนอนโรงพยาบาลซะก็ดี แจจุงเลยหน้าขึ้นมาจากสคลิปตรงหน้าอย่างเสียมิได้ ก่อนจะถอนใจ 1 ที

      “ทานข้าว…แล้วถ่ายรายการนี้ให้เสร็จก่อน…เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” แจจุงตบบ่าผม 1ที แล้วลุกเดินหนีไป โดยที่ผมไม่ทันจะตอบอะไร

      เกือบบ่าย 2 หลังจากที่เราถ่ายรายการ On Stage จบ ในระหว่างที่เราทุกคนกำลังเก็บของเตรียมจะ ไปถ่ายทำรายการที่ สตูดิโออื่น ผู้จัดการก็เดินมาหาผม

      “นายกลับไปพักเถอะ ยุนโฮ…เดี๋ยวเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะแย่” ผู้จัดการวงจอมเฮี๊ยบ พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อหู
      “ผม…ผมน่ะเหรอครับ”
      “แจจุงบอกชั้นหมดแล้ว เรื่องที่นายติดติดไข้จากยูชอน แล้วฝืนมาทำงาน…ไม่ต้องปิดบังชั้นยุนโฮ กลับไปพักผ่อนซะ นี่คือคำสั่ง” ผู้จัดการตบบ่าผมแล้วเดินจากไป…เหมือนที่แจจุงบอกกับผม แจจุงจัดการทุกอย่างอย่างที่บอกเอาไว้จริงๆ …ผมมองไปเห็นแจจุงกำลังยืนคุยอยู่กับชางมิน ดูเหมือนชางมินกำลังปลอบใจอะไรแจจุงอยู่ แจจุงไม่หันมามองทางผมเลยซักนิด…

      ผมกลับไปถึงที่ห้อง ตอน บ่าย 3 กว่าๆ ผมเดินไปที่ห้องยูชอนก่อนที่จะแวะหาน้ำดื่มซะอีก
      ก็ทันเห็นยูชอนกองยูกับพื้น ผมรีบวิ่งเข้าไปดูทันที ถ้าผมไม่มา ยูชอนจะเป็นยังไง

      “โทษที ที่มาช้า...ลุกขึ้นๆ เป็นไงบ้าง” ผมประคองยูชอนขึ้นนอนลงบนเตียง
      “ไหนว่าจะหาคนมา..แล้วทำไมทิ้งงานมาเองล่ะครับ”

      “ก็ว่าจะให้ผู้จัดการหาคนมาให้ แต่ไม่ไว้ใจ เลยต้องมาดูเอง”

      “แล้วงานล่ะ...ทิ้งมาทำไม..ผมป่วยไปคน พี่หนีมาคน จะเหลืออะไรล่ะ”

      “ช่างงานก่อนเถอะ...เป็นห่วงนายมากกว่า” ตาเรียวจ้องลึกเข้าไปในตาผม จนผมต้องเบือนหน้าหนี “ ตัวเหนียว พี่เช็ดตัวให้น่ะ” พูดจบจึงลุกไปเตรียมอ่างน้ำอุ่นๆ กับเช็ดตัวเล็กๆ มา 1 ผืน


      ถ้านายเป็นอะไรไป พี่จะอยู่ได้ยังไง…ผมเริ่มตระหนักว่า…ความรู้สึกกลัวที่จะบอกออกไปว่ารักของผมนั้น คงเทียบไม่ได้…ถ้าหากยูชอนเดินจากผมไปโดยที่ผมไม่ได้บอกความรู้สึกที่แม้จริงของผมออกไป…ผมตัดสินใจตั้งแต่ตอนนั้น……..

      ผมจัดการเช็ดตัวให้ยูชอน หลังจากที่หลอกล่อให้เด็กดื้อกินยาแล้ว จึงนั่งลงที่ข้างเตียง ลูบผมกระด้างของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู … “พักผ่อนเถอะ...จะได้หายไวๆ... พี่จะนั่งเฝ้าที่ข้างเตียง”

      รอให้นายดีขึ้นกว่านี้ซักนิด แล้วพี่จะบอกความรู้สึกของพี่ให้นายได้รับรู้…ไม่ว่านายจะตอบว่ายังไง พี่ก็จะยอมรับผลของมัน


      “พี่ครับ....” ยูชอนเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและอ่อนแรง

      “ว่าไง....”

      “.............” แล้วคนเรียกก็เงียบไปซะดื้อๆ

      “เรียกแล้วเงียบ...แกล้งกันนี่หน่า....”
      “พี่ครับ....” ยูชอนเรียกผมอีกรอบ

      “จะแกล้งอีกรึไง...พักผ่อนซ่ะ” ผมจึง ดึงผ้าห่ม ขึ้นปิดอกของยูชอนไว้ เหมือนพ่อที่กำลังจะกล่อมลุกให้นอนไม่มีผิด

      “ผมรักพี่...มั่นใจว่ารัก...ตั้งแต่แรกเจอ...เมื่อ 3 ปีที่แล้ว” ลำคอแห้งผาก ริมฝีปากสั่น ของคนตรงหน้าผมเอ่ยเสียงแหบแห้ง

      เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอึ้ง…มองคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง…เมื่ออยู่ดีๆ ยูชอนก็เอ่ยคำที่ผมอยากจะบอกออกมาจากปากของเค้าเอง…

      “ สถานะของเรา คงไม่มีทางเป็นไปได้ ผมรู้ดี...ผมแค่ต้องการบอกพี่ ให้รับรู้ถึงจิตใจของผมบ้าง...มันอาจจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย ถ้าผมจะบอกว่า ที่ทำให้ลงไป ไว้ปลอบใจตัวเองว่า ผมได้เริ่มทำไปแล้ว แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จอย่างที่หวังก็ตาม...ผลที่ตาม มันอาจจะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แต่ผมพร้อมที่ยืดอกรับมันอย่างเต็มที่ ผมไม่คาดหวังคำตอบรับจากพี่ ขอแค่พี่รับรู้ไว้ก็พอ”

      ยูชอน ยิ้มให้ผม ยิ้มที่ดูเหมือนฝืนใจนั้น ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นดี…ในเมื่อผมเองยังอึ้งจนไม่สามารถจะตอบอะไรออกไปได้

      “ผมไม่ได้เพ้อเพราะพิษไข้ แต่ทั้งหมดนี้ มันมาจากใจจริงของผมทั้งหมด”

      ให้ตายเถอะ ชองยุนโฮ นายนี่มันโง่ ทำไมถึงดูไม่ออก ปล่อยให้คนที่รักและตัวเองต้องลำบากใจอยู่ตั้งนาน….

      “....นอนก่อนเถอะ... ไว้ตื่นมา เราค่อยคุยกันใหม่” ผมลูบหัวยูชอน 2-3 ที เค้าจึงหลับไป
      ยูชอนหลับไปแล้ว…แต่หลังจากที่เค้าตื่นขึ้นมาล่ะ…พวกเราจะเป็นยังไงกันต่อไป…ผมได้แต่ยิ้มให้ตัวเองคนเดียวเหมือนคนบ้า สงสัยว่าผมต้องทำอะไรซักอย่างซะแล้ว..

      ***************************************

      “ให้ตายเหอะ…นายตื่นมาทำมันได้ยังไงทุกเช้าฟระ…แจจุง” ผมบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังพยายามต้มโจ๊กให้ยูชอนอยู่…และก็เริ่มสำนึกบุญคุณของเพื่อนรักขึ้นมาอยากตะงิดๆ ที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำอาหารให้พวกเรากินกันได้ทุกวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย…ผมใส่ทุกอย่างตามที่ตำราบอกแต่สภาพมันก็ออกมาเหมือนอาหารหมูมากกว่าที่จะเป็นโจ๊ก…แล้วท่านชายปาร์ค จะเสวยมันลงได้ยังไงล่ะเนี่ย…

      อ๊ะ!! ผมตกใจเมื่อหันไปที่หน้าประตูห้องครัวก็พบว่า ท่านชายปาร์คที่ว่ากำลังยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูนั่นเอง
      เขินชะมัด…เกิดมาก็เพิ่งทำอะไรแบบนี้…แต่เพื่อนายนานๆที ก็โอเคนะ…

      “เมื่อเช้าเห็นแจจุงทำ นึกว่าง่าย เลยลองทำบ้าง...เปิดตำราก็แล้ว ยังยากอยู่ดี...พี่ว่า...โทรสั่งขึ้นมากินจะดีกว่าเน๊อะ...” พูดไปก็ดึงผ้ากันเปื้อนออกเขินๆ หยิบโทรศัพท์ในครัวขึ้นมา

      “ไม่ต้องโทรหรอกครับ... ผมทานได้..ก็เคยทานมาตั้งหลายครั้งแล้ว...อีกสักครั้งคงไม่เป็นไร” พูดจบจึงหันหลัง จะออกจากครัวไป

      “เดี๋ยว...ยูชอน...พี่จะตอบนาย...” ผมตัดสินใจที่จะพูดอะไรๆให้มันชัดเจนซะที ผมจะไม่รออีกต่อไปแล้ว … เมื่อยูชอนกล้าที่จะเป็นคนเริ่มต้น ผมก็จะสานต่อให้จบเอง
      “พี่ดีใจ...ที่เราคิดตรงกัน...” เมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังฟังอย่างตั้งใจฟัง ผมจึงพูดต่อทันที
      “พี่มันขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริง เหตุผลก็คงเหมือนกับของนาย กลัวมันจบ... ทั้งๆที่เพิ่งเริ่ม...” ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของยูชอน ประคองใบหน้าของเค้าเอาไว้ในมือ ใบหน้าที่ผมเฝ้าแต่แอบมองมาตลอด 3 ปี
      “ ขอโทษที่บอกช้า...พี่รักนาย...มั่นใจว่ารักมาตั้งแต่ 3 ปี ที่แล้ว...ขอโทษที่บอกช้าไป..รักนายนะ...”

      สิ้นคำบอกรัก จึงตามด้วยจูบหวานละมุนทาบที่ริมฝีปากอิ่มทันที ลิ้นเล็กๆภายในค่อยๆตอบรับอย่างอ่อนโยน หวานละมุนกว่าอื่นใดทั้งหมด เหมือนความรักที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ มัน อบอุ่น หอมหวาน ดูดดื่ม และอยากให้คงอยู่แบบนั้นตราบนานเท่านาน อ้อมกอดที่มีไว้เพื่อคนๆเดียว แต่กลับต่างจากทุกทีที่ได้สัมผัส วงแขนโอบกระชับแน่น ช่วยย้ำให้ชัดเจนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ไม่ใช่ความฝันอย่างทุกคืนที่ผ่านมา มันคือเรื่องราวจริงๆ ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น นับแต่วินาทีเป็นต้นไป..................................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×