ผม...เฝ้ามองใครบางคนมาตลอดเวลา 3 ปี ได้แต่บอกย้ำกับตัวเองว่าแค่ “พี่น้อง” ไม่มีสิทธิ์มากเกินไปกว่านั้น และทุกครั้งที่เขาล้มลง...ผมเอื้อมมืออกไปสุดแขนและทำได้แค่เพียงตบไหล่เค้า บอกให้เค้าลุกขึ้นยืน ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น เมื่อผมไม่สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความสัมพันธ์ที่เรียกว่าพี่น้องและเพื่อนร่วมงาน ออกไปได้ ...
ผมเหนื่อยใจกับความขี้ขลาดของตัวเอง...ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มต้น ก้าวท้าวเดินข้ามผ่านเส้นแบ่งนี้ไป ... เส้นบางๆที่กว้างเหลือเกิน
ผมอาจจะดูเหมือนเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ แต่ช่างน่าหัวเราะนัก ที่เรื่องแค่นี้ ตัวผมเองกลับไม่กล้าเริ่มต้น ผมได้แต่เก็บความรู้สึกที่มันสะสมมากขึ้นทุกวันเอาไว้ในอก จนมันแทบจะระเบิดออกมา...ทุกๆครั้งที่ผมยิ้มให้เค้า แล้วเค้ายิ้มตอบผมกลับมามันทำให้หัวใจของผมพองโตไปได้หลายวัน...เพราะฉะนั้นผมถึงกลัว...
กลัวว่ารอยยิ้มที่ผมเคยได้รับมันจะหายไป ... เราจะมองหน้ากันไม่ติด และเค้าจะลำบากใจกับความรู้สึกของผมถ้าหากผมเปิดเผยมันออกไป
**********************
“วันนี้ยูชอนดูแปลกๆนะยุนโฮ” แจจุงบอกผมให้ดูท่าทีที่ผิดสังเกตไปของยูชอน อันที่จริงผมเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่เช้าแล้ว ดูไม่มีแรงยังไงชอบกล หน้าก็ดูซีดๆ แต่ถามแล้วเจ้าตัวก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ผมจึงได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง
“...เข้าฉากครับ...จะเป็นการซ้อม ก่อน 1 รอบนะครับ...” เสียงโปรดิวเซอร์ กำกับเวทีดังก้องผ่านทางโทรโข่งอันเล็ก (-_-) ผมหันไปมอง ยูชอนที่กำลังเดินโรยแรงไปที่เวทีด้วยความเป็นห่วง
“แสง....ดนตรี...พร้อม!! แอ๊คชั่น” หลังจากที่เราออกมายืนกันตามตำแหน่งแล้ว เสียงดนตรีเพลงคุ้นเคยก็ดังขึ้นตามเสียงของผู้กำกับ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมเห็นยูชอนเต้นผิดจังหวะ...ดูท่าตัวเค้าเองก็หงุดหงิดกับตัวเองอยู่ไม่น้อย...เพราะเค้าเป็นคนที่ค่อนข้ างจริงจังกับงาน...เมื่อถึงคิวที่เราต้องเดินสวนกันตอนเปลี่ยนสเตป ผมบีบไหล่เค้าเป็นการปลอบใจ...
“ ไม่เป็นไรนะ...ลองใหม่อีกที” ผมคงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่านี้
สิ่งที่ผมจะพูดออกไปได้
“พัก ครับ
.ยูชอนครับ..ผิดจังหวะอยู่นะครับ ครั้งหน้าถ่ายจริงพยายามหน่อยนะครับ” เสียงผู้กำกับสั่งพัก ... ผมรีบเดินไปดูยูชอนทันที .. หน้าซีดลงกว่าเดิมมาก และดูท่าทางหายใจไม่เป็นปกติ
“โอเคมั้ย...พี่เห็นหน้านายซีดๆ ไม่สบายรึป่าว” ผมบีบไหล่ยูชอนเบาๆ...หวังว่าความห่วงไยที่ผมมีให้เค้ามันจะส่งผ่านไปถึงหัวใจของเค้าซักนิด ...
...ผมทำได้แค่นี้จริงๆ ... นอกจากความรักที่มีให้แต่ไม่สามารถบอกออกไปได้แล้ว ผมไม่สามารถจะทำอะไรเพื่อเค้าได้อีกแล้วจริงๆ
“...ไม่เป็นไรครับ..ผมยังไหว...ถ่ายต่อเถอะครับ” ยูชอนปาดเหงื่อทิ้ง แล้วจึงหันไปบอกกับทีมงาน ผู้กำกับจึงสั่งเดินเทป...ผมได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ทำไมถึงไม่รู้ตัวเองบ้างเลย ว่าทำให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงจนแทบจะทำงานไม่ได้ ยูชอนยังฝืนที่จะทำงานต่อไป...ผมได้แต่เหลือบมองเค้าเป็นพักๆ เพราะไม่อยากให้เค้าคิดว่า ผมกลัวว่าเค้าจะทำผิดพลาด หรือเป็นตัวถ่วง..
แต่จะให้ทำยังไงได้ ไม่ว่าจะเพราะหน้าที่หัวหน้าวง หรือ คนที่แอบรัก ผมก็ยังเป็นห่วงเค้าอยู่ดี
ร่างกายที่ถูกฝึกซ้อมอย่างหนัก จนการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
ผมแทบจะไม่ได้ละสายตาจากยูชอนเลย
นอกจากบางครั้งที่ถึงท่อนที่ผมจะต้องร้อง และต้องมองกล้อง
อยู่ๆดีๆ ยูชอนก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาผม
“ยูชอน!!! ” ผมไปถึงตัวยูชอนเป็นคนแรก แต่ก็ยังช้ากว่าที่ใจคิด
ความชุลมุนเกิดขึ้น เมื่อทีมงานต่างก็วิ่งเข้ามาเพื่อดูยูชอน
ผมกลัวว่าเค้าจะได้รับอากาศไม่เพียงพอ จึงต้องรีบพยุงยูชอนไปนั่งพัก ไม่นานนัก แจจุงก็วิ่งมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ของยูชอนและควานหา ยาขยายหลอดลมที่ยูชอนใช้อยู่ประจำส่งให้ยูชอน
“ พ่นซ่ะก่อน...” แจจุงพูดกับยูชอน
แจจุงมักจะเป็นคนที่จดจำรายละเอียดของทุกๆคนได้ดี ใครเป็นอะไร เก็บอะไรไว้ตรงไหน
ผมซะอีกที่นั่งบื้ออยู่ได้..คิดแล้วก็น่าโมโหตัวเองนัก ถ้าแจจุงไม่วิ่งเข้าไปหยิบเจ้ายาขยายหลอดลมนั่นมาจากห้องแต่งตัว ยูชอนก็ยังคงทรมานอยู่แบบนี้
“หอบกำเริบอีกแล้ว...” ผมบอกยูชอนที่กำลังนั่งหายใจติดขัดอยู่ข้างๆ
“คงถ่ายต่อไม่ได้แล้วล่ะ...พี่ว่านายกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า” ปอยผมชุ่มด้วยเหงื่อตกลงมาปรกหน้าของยูชอนจนรุงรัง ผมใช้มือเกลี่ยมันออก... สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก
“ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวนั่งพักสักหน่อย คงดีขึ้น...ผมไม่อยากให้เสียงาน” ถึงยูชอนจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ผมก็ไม่ยอมเช่นกัน
“เมื่อกี้ก็ว่า ไม่เป็นไร แล้วก็ล้ม นายร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ได้พักผ่อน ก็ไปกันใหญ่ ผมได้แต่ถอนใจเบาๆ ดูท่าทางเจ้าตัวคงจะไม่ยอมง่ายๆ หากบอกให้กลับไปด้วยความสมัครใจ
“กลับไปพักเถอะ...งานวันนี้ไม่มีอะไรมากเสียหน่อย แค่โชว์ตัว ขาดไปเสียหนึ่งเพราะว่าป่วย ไม่มีใครว่าหรอก...ทางนี้เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง” ผมคงต้องใช้วิธีสุดท้ายคือบังคับ...
“ แต่ว่า...” ยูชอนทำท่าจะค้าน นั่นไงไม่ยอมง่ายๆจริงๆด้วย ผมหันไปสบตากับแจจุงที่อยู่ข้างๆ
“จริงของยุนโฮ พี่ว่านายกลับไปพักเถอะ .... ไม่อย่างนั้น พวกเราที่เหลือก็จะต้องคอยเป็นห่วงนาย แล้วงานก็จะออกมาไม่ดี...” แจจุงบอกเหตุผลที่ดูเหมือนจะตรงไปซักหน่อย แต่ก็เพราะอยากให้ยูชอนกลับไปพัก อันนี้ผมเข้าใจดี เจ้าพวกที่เหลือก็ดูเหมือนจะรู้งานดี พากันตะโกนห้ามยูชอนเป็นการใหญ่
“ยูชอน นายอยากกลับไปดีๆ หรือจะให้พวกชั้นจับนายมัดแล้วส่งนายกลับล่ะ” ประโยคนี้เป็นของจุนซู เพื่อนซี้ของยูชอนนั่นเอง...
เมื่อไม่มีทางเลือก ยูชอนก็ต้องกลับคอนโดไปพัก ตามที่เพื่อนๆบอก ผมโล่งใจที่ยูชอนกลับไปพัก
*********************
ไม่ใช่ฝืนทนทำงานทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมอยู่แบบนี้ แต่อีกใจก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนั้น ถ้าเกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีกจะทำยังไง แถมยูชอนยังกลัวความมืด กลัวผี กลัวการอยู่คนเดียว แบบเข้าขั้นโฟเบี่ยร์ .....
“ห่วงมากก็ตามกลับไปดูแลสิ” แจจุงนั่งอยู่ข้างๆผมพูดขึ้นในขณะที่ผมคิดไปต่างๆนาๆ ท่าทางของผมมันคงจะดูร้อนรนมากจะแจจุงสังเกตได้..
“ห่วง...อะไร...ใคร” ผมรู้สึกตกใจที่แจจุงพูดเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร
“ยุนโฮ...ชั้นกับนายรู้จักกันมากี่ปี...นายคิดอะไรทำไมชั้นจะไม่รู้” แจจุงหันมายิ้มให้ผม ใบหน้าสวยงามที่ผมเห็นจนชินตา ไม่ว่าจะกี่ปี แจจุงก็ยังเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมที่สุด
. ผมซะอีกที่ไม่เคยจะรู้เลยว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคิดอะไรอยู่
.
“ชั้น....” ผมได้แต่อ้ำอึ้ง
“ต่อให้นายทำเพื่อยูชอนมากมายแค่ไหน แต่นายไม่กล้าที่จะบอกยูชอนไปว่านายรู้สึกยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์
มันก็เหมือนเวลาที่นายจะไปที่ไหนซักแห่งนั่นแหละ
ถึงนายจะเตรียมข้าวของ เตรียมตัวมากมายเพียงใด แต่ตราบใดที่นายยังไม่เริ่มต้นออกเดิน นายก็จะไปไม่มีทางไปถึงจุดหมาย” ถึงปกติ แจจุงจะเอาแต่แกล้งคนอื่น แต่สำหรับผม แจจุงเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด
คงเป็นเพราะเค้าผ่านเรื่องลำบากมาเยอะ...เค้าจึงเลือกที่จะแสดงออกและมีความสุขกับมุมที่สดใสในชีวิต มากกว่าที่จะหมกตัวอยู่ในเงามืดของคำว่าอดีตที่แสนเจ็บปวด
“ชั้นกลัวว่า เราจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ ถ้าเกิดยูชอนไม่ได้คิดเหมือนกัน แล้วต่อไปวงเราจะเป็นยังไง ชั้นไม่อยากเป็นสาเหตุให้วงเราต้องแตกกันน่ะ” ในที่สุดผมก็เล่าความรู้สึกของผมให้แจจุงฟัง...ซึ่งแจจุงก็รับฟังมันเหมือนเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ เพราะเค้ารู้เรื่องนี้มานานแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่ได้เอ่ยปากก็ตามที
“ยุนโฮ
ชั้นขอบอกอะไรนายซักอย่างจะได้ไม๊”
“อะไร?”
“ทำคืนนี้ให้ดีที่สุด
และอย่าหยุด ถ้ายังไม่ถึงจุดสุดยอด” แจจุงพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย...จนผมคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงจัง
ผมชะงัก แล้วหันไปมองหน้าเย็นชาของแจจุงช้าๆ
“นายนี่น๊า
เป็นเรื่องเป็นราวเกิน 5 นาทีจะได้ไม๊เนี่ย”
แจจุงได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอแล้วทิ้งผมไว้กับความคิดของตัวเอง
แล้วเดินไปนั่งกับชางมิน
ที่นั่งอยู่ห่างออกไป
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ กลับไปที่คอนโดทันทีที่เสร็จงาน โดยไม่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเสร็จงาน เพื่อดูแลยูชอน
“ชางมิน
การได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุขมันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไมพี่ถึงรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลาล่ะ
ทำไมพี่ถึงรู้ส ึกว่าตัวเองไร้ค่าเสียเหลือเกิน” ร่างบางย่อตัวลงนั่งข้างๆผู้เป็นน้องอย่างหมดเรี่ยวแรงก่อนจะเอ่ยออกมาเหมือนระบายความในใจ
“คงเป็นเพราะ เวลาพี่ลืมตา
พี่เอาจับจ้องแต่คนที่พี่รัก
ไม่เคยมีซักครั้งที่พี่จะละสายตามองไปรอบๆน่ะสิ” ใบหน้าอ่อนโยน เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดบันทึกเล่มเล็กนั่น
“แล้วยังไง”
“พี่ถึงมองไม่เห็นคนอื่นที่อยู่รอบๆตัวพี่
ความรักของคนที่รักพี่
คนที่เผ้ามองพี่อยู่ตลอดเวลาในขณะที่พี่เฝ้ามองคนอื่น
”
“ชางมิน!!
นาย” ใบหน้าสวยเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในขณะที่คนถูกเรียกก็ยังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงเขียนบางอย่างลงในสมุดต่อ
************
ผมเปิดประตูห้องพัก อันเงียบสงัดเข้ามาพบกับความมืดและเงียบงัน... แสงไฟจากห้องทำงานส่องรอดประตูออกมา...ดูท่าทางยูชอนจะไม่ได้กลับมาพักผ่อน อย่างที่อยากให้เป็น ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไป
ยูชอนฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงาน...เฮดโฟนยังคงถูกใส่เอาไว้ที่หู คงหลับไปทั้งอย่างนั้น ใบหน้าของยูชอนยามหลับช่างดูบริสุทธิ์ ผมย่อตัวลงนั่งตรงหน้ายูชอนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง ผมยกมือขึ้นสัมผัสแก้มใสนั้นอย่างลืมตัว...
“พี่ต้องทำเพื่อนายขนาดไหน นายถึงจะรู้ตัวซะทีนะยูชอน...” แทบจะอดใจไม่ไหว ริมฝีปากแดงเรื่อนั้นช่างเย้ายวนให้ผมสัมผัส แต่ก่อนที่จะได้เชยชิม ผมก็ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนมากระซิบเรียกที่ข้างๆหูเบาๆแทน...
หากยังหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่แบบนี้ ผมคงจะอดใจไม่ไหวแน่ๆ
“ยูชอน!!..ยูชอน!!...” ยูชอนเริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะลืมตาเบิกกว้าง กระพริบเร็วๆ 2-3 ที เหมือนกำลัง งง
“ พี่ยุนโฮ!! มาได้ไง” ยูชอนร้องออกมาด้วยความตกใจ มองหน้าผมสลับกับนาฬิกาบนผนังหลายรอบ
“ ไม่ไปกินเลี้ยงกับทีมงานหรอครับ...” เจ้าตัวถามด้วยความแปลกใจ..ที่เห็นผมกลับมาก่อน
“เป็นห่วงนาย...พี่เลยขอกลับมาก่อน...” ผมตอบออกไป
เค้าจะรู้รึเปล่านะ เวลาที่ผมแทนตัวเองว่า ‘พี่’ ที่ไร ผมรู้สึกขมขื่นใจจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด มันเหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเองทุกครั้งว่าผมคงเป็นได้เพียงแค่พี่ชายเท่านั้น ...
“ว่าแต่นายเถอะ.. มานอนทำไมตรงนี้ บอกให้พักผ่อน ทำไมไม่ไปนอนในห้อง” ผมลูบหัวยูชอนเบาๆ
“นอนไม่หลับ เลยมานั่งแต่งเพลงต่อ จนแล้วจนรอดก็แต่งไม่ออก เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้...” พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตา
“นายนี่น๊า~~
ชอบทำตัวให้พี่เป็นห่วงอยู่เรื่อย” ผมดึงแขนยูชอนขึ้น แล้วพาเดินออกจากห้องทำงาน ไปที่ห้องนอน
“ ถึงต้องกลับมาดูนี่ไง...ระหว่างที่พวกนั้นยังไม่กลับ คืนนี้พี่จะเฝ้านายเอง...เอ้า!!...นอนซ่ะ” ผมผลักยูชอนลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดให้จนถึงคอ
“ ขอไปอาบน้ำให้สดชื่นก่อนน่ะ...แล้วจะมานั่งเฝ้าทั้งคืนเลย” ผมยิ้มให้ยูชอน แล้วเดินออกมาที่ห้องตัวเอง เพื่ออาบน้ำ อย่างที่บอก
นอกจะดูแลในฐานะพี่ชายแล้ว ผมจะยังทำอย่างอื่นเพื่อยูชอนได้ไม๊นะ ผมจะเริ่มต้นมันจากตรงไหนดี ...
ผมก็กลับมา นั่งลงที่ข้างเตียงเมื่ออาบน้ำเสร็จ แล้วก็พบว่ายูชอนยังไม่หลับ แต่กลับนอนมองผมตาแป๋วเชียว
“ ยังไม่หลับอีกรึเรา... นอนดึกจนเคยตัวล่ะสิ...” ผมหัวเราะในลำคอ
“ คงงั้นมั้ง... พี่ไม่ต้องอยู่เฝ้าก็ได้...ไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันไม่ใช่รึ”
“ ยังไม่ง่วงเหมือนกัน... นั่งเฝ้านายดีกว่า..เผื่อนายอยากได้อะไร พี่จะได้ช่วยเดินไปหยิบให้ไง” เหตุผลที่พอจะเข้าทีที่สุดที่ผมพอจะนึกออกในตอนนี้
มันคงจะดีกว่าที่ผมจะบอกว่า “เป็นเพราะ พี่อยากจะมองหน้านายอย่างนี้ทั้งคืนน่ะสิ
” ผมหยิบหนังสือที่ถือติดมือมาจากห้องรับแขกขึ้นมาทำท่าเหมือนจะอ่าน ที่จริงแล้ว ผมเพียงแค่เอามันมาปิดบังใบหน้าอันแดงซ่าน และสายตาของผม เวลาที่ผมแอบมองยูชอนเท่านั้นเอง..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร
“ผมถามอะไรหน่อยสิ....”
อยู่ดีๆ ยูชอนก็เอ่ยขึ้นมา
ผมนึกว่าเค้าหลับไปแล้วซะอีก หรือว่าเค้าจะสังเกตเห็นว่าผมแอบมองเค้าอยู่
ผมใจเต้นระทึก
ผม วางหนังสือลง ลุกขึ้นเอาท่อนแขนวางซ้อนที่ข้างเตียง แล้วซบหน้าลงไป “ว่ามาสิ...”
“...พี่...ทำแบบนี้...ทำดีกับผมแบบนี้...ทำไม”
ผมได้แต่ เงียบ...ผมอึ้ง
เหตุผลอะไรที่บอกไปแล้วมันจะฟังดูดีที่สุด...ทั้งที่ใจของผมอยากจะบอกว่า
เป็นเพราะยูชอนเป็นคนที่ผมรักน่ะสิ..แต่ปากมันกลับพ ูดออกไปว่า
“คงเพราะ...นายเป็นน้องที่พี่...รักมากที่สุด..ละมั้ง” พูดจบผมก็คว้าหนังสือขึ้นมาทำท่าอ่านต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น... แต่สายตาของผมมองไม่เห็นตัวหนังสือใดๆในหน้ากระดาษเลย...ม่านน้ำตาที่ผมพยายามจะกลั้นเอาไว้มันบดบังสายตาของผมเอาไว้ทั้งหมด
นายเป็นน้องที่พี่รักที่สุด
คำที่ผมบอกยูชอนไป
ถึงแม้จะยากเพียงไหน ผมก็ต้องบอกตัวเองให้คิดแบบนั้นเหมือนกัน
รุ่งเช้า...
“แจจุง
ดูเหมือนยูชอนจะมีไข้นะ
นายช่วยต้มโจ๊กให้หน่อยสิ
สงสัยวันนี้คงต้องพักอีกวันแล้วล่ะ” เมื่อผมออกมาจากห้องของยูชอน ก็เจอกับแจจุงที่หน้าห้อง..เมื่อคืนนี้หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอไรกันต่อ
ผมนั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน โดยที่มีแจจุงแวะเข้าไปดูบ้างเป็นครั้งคราว
“ไม่ต้องบอกก็ต้องทำอยู่แล้วน่า
นายเองนั่นแหละ ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปทำงาน
ที่เหลือเดี๋ยวชั้นจัดการเอง” พูดจบ แจจุงก็เดินหายเข้าไปในห้องของยูชอน ถ้าไม่มีแจจุงคอยดูแล วงเราคงมีความเป็นอยู่ที่แย่กว่านี้น่าดู
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ...พวกเราก็พร้อมที่จะออกเดินทางเพื่อไปทำงาน จุนซูและชางมิน ยังคงร่าเริงและทะเลาะกันเรื่องของกินเหมือนเดิม
ผมมองดูที่ว่างๆที่เป็นที่ของยูชอนระหว่างที่เรานั่งทานอาหารเช้ากัน
“ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไม๊ จุนซู
” เสียงแจจุงถามจุนซู ก็เหมือนทุกๆวัน จุนซูมักจะชอบลืมอะไรต่อมิอะไรเสมอ
แต่วันนี้จุนซูกลับไม่ได้ลืมอะไร
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ในเช้านี้ คือ แจจุงไม่ชวนทะเลาะ หรือหาเรื่องแกล้งชางมินอย่างวันที่แล้วๆมา
“ชั้นขอแวะเข้าไปดู ยูชอนก่อนนะ
พวกนายไปรอที่รถเลย” ผมค่อยๆเปิดประตูห้องเข้าไป ในขณะที่พวกเพื่อนๆ พากันทะลอยออกจากห้องไป..โดยมีแจจุงหันมามองผมแว๊บนึง ก่อน ออกจากห้องไป
“ ลืมอะไรอีกล่ะจุนซู...” ยูชอนตะโกนถามทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตา
ผมได้แต่นึกขำในใจ จึงไม่ได้ตอบอะไรออกไป
จนอีกฝ่ายๆค่อยๆลืมตาขึ้นมาดู
“ มาดูให้หายเป็นห่วง สักหน่อย แล้วค่อยไป”
“พี่ยุนโฮ!!” ยูชอนร้องเสียงดัง จนไอ
“ ใจเย็นๆ...ตกใจอะไรกัน...” ผมกดมือทาบลงที่หน้าอกเบาๆ เพื่อให้ยูชอนนอนลงอย่างเดิม
ผมทาบหลังมือลงที่หน้าผากยูชอน “ ตัวอุ่นๆ... ปวดหัวรึป่าว”
เจ้าตัวส่ายหัวดิ๊ก..เหมือนเด็กที่กลัวหมอ จนผมนึกขำ
“ไม่ไปโรงพยาบาลแน่น่ะ”
“ถามเหมือนพี่แจจุง...เป็นไรมากหรอกครับ ...พักสักหน่อยเดี๋ยวก็หายเอง” เสียงแหบอยู่แล้ว ยิ่งเบาและแหบลงกว่าเดิม
“อื้อ..ตามใจ” ผมถอนใจ 1 ที
ลองบอกว่าไม่แล้ว..ไม่ว่าจะพูดจนปากเปียกปากแฉะอย่างไร ยูชอนก็ก็ไม่เปลี่นใจอยู่ดี
“ช่วงบ่ายๆจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนน่ะ...วันนี้คงกลับกันดึกสักหน่อย อยู่คนเดียวได้น่ะ”
“ครับ..อยู่ได้” คนป่วยยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ ผมจึงต้องจำใจเดินออกมา
**********************************************
“แจจุง
นายว่าชั้นจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อนยูชอนดีล่ะ” ผมถามแจจุงที่นั่งไขว่ห้างอ่านสคลิปอยู่ข้างๆ
เราถ่ายเสร็จไปรายการนึงแล้ว กำลังจะเริ่มต้นอัด อีกรายการ นี่ก็เกือบจะเที่ยงอยู่ระหว่างพักทานอาหารเที่ยง แต่ผมไม่มีกระจิตกระใจที่จะทานอะไรเลย เพราะเป็นห่วงยูชอนที่นอนป่วยอยู่คนเดียวที่ห้อง รู้แบบนี้ บังคับให้ไปนอนโรงพยาบาลซะก็ดี แจจุงเลยหน้าขึ้นมาจากสคลิปตรงหน้าอย่างเสียมิได้ ก่อนจะถอนใจ 1 ที
“ทานข้าว
แล้วถ่ายรายการนี้ให้เสร็จก่อน
เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” แจจุงตบบ่าผม 1ที แล้วลุกเดินหนีไป โดยที่ผมไม่ทันจะตอบอะไร
เกือบบ่าย 2 หลังจากที่เราถ่ายรายการ On Stage จบ ในระหว่างที่เราทุกคนกำลังเก็บของเตรียมจะ ไปถ่ายทำรายการที่ สตูดิโออื่น ผู้จัดการก็เดินมาหาผม
“นายกลับไปพักเถอะ ยุนโฮ
เดี๋ยวเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะแย่” ผู้จัดการวงจอมเฮี๊ยบ พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อหู
“ผม
ผมน่ะเหรอครับ”
“แจจุงบอกชั้นหมดแล้ว เรื่องที่นายติดติดไข้จากยูชอน แล้วฝืนมาทำงาน
ไม่ต้องปิดบังชั้นยุนโฮ กลับไปพักผ่อนซะ นี่คือคำสั่ง” ผู้จัดการตบบ่าผมแล้วเดินจากไป
เหมือนที่แจจุงบอกกับผม แจจุงจัดการทุกอย่างอย่างที่บอกเอาไว้จริงๆ
ผมมองไปเห็นแจจุงกำลังยืนคุยอยู่กับชางมิน ดูเหมือนชางมินกำลังปลอบใจอะไรแจจุงอยู่ แจจุงไม่หันมามองทางผมเลยซักนิด
ผมกลับไปถึงที่ห้อง ตอน บ่าย 3 กว่าๆ ผมเดินไปที่ห้องยูชอนก่อนที่จะแวะหาน้ำดื่มซะอีก
ก็ทันเห็นยูชอนกองยูกับพื้น ผมรีบวิ่งเข้าไปดูทันที ถ้าผมไม่มา ยูชอนจะเป็นยังไง
“โทษที ที่มาช้า...ลุกขึ้นๆ เป็นไงบ้าง” ผมประคองยูชอนขึ้นนอนลงบนเตียง
“ไหนว่าจะหาคนมา..แล้วทำไมทิ้งงานมาเองล่ะครับ”
“ก็ว่าจะให้ผู้จัดการหาคนมาให้ แต่ไม่ไว้ใจ เลยต้องมาดูเอง”
“แล้วงานล่ะ...ทิ้งมาทำไม..ผมป่วยไปคน พี่หนีมาคน จะเหลืออะไรล่ะ”
“ช่างงานก่อนเถอะ...เป็นห่วงนายมากกว่า” ตาเรียวจ้องลึกเข้าไปในตาผม จนผมต้องเบือนหน้าหนี “ ตัวเหนียว พี่เช็ดตัวให้น่ะ” พูดจบจึงลุกไปเตรียมอ่างน้ำอุ่นๆ กับเช็ดตัวเล็กๆ มา 1 ผืน
ถ้านายเป็นอะไรไป พี่จะอยู่ได้ยังไง
ผมเริ่มตระหนักว่า
ความรู้สึกกลัวที่จะบอกออกไปว่ารักของผมนั้น คงเทียบไม่ได้
ถ้าหากยูชอนเดินจากผมไปโดยที่ผมไม่ได้บอกความรู้สึกที่แม้จริงของผมออกไป
ผมตัดสินใจตั้งแต่ตอนนั้น
..
ผมจัดการเช็ดตัวให้ยูชอน หลังจากที่หลอกล่อให้เด็กดื้อกินยาแล้ว จึงนั่งลงที่ข้างเตียง ลูบผมกระด้างของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“พักผ่อนเถอะ...จะได้หายไวๆ... พี่จะนั่งเฝ้าที่ข้างเตียง”
รอให้นายดีขึ้นกว่านี้ซักนิด แล้วพี่จะบอกความรู้สึกของพี่ให้นายได้รับรู้
ไม่ว่านายจะตอบว่ายังไง พี่ก็จะยอมรับผลของมัน
“พี่ครับ....” ยูชอนเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและอ่อนแรง
“ว่าไง....”
“.............” แล้วคนเรียกก็เงียบไปซะดื้อๆ
“เรียกแล้วเงียบ...แกล้งกันนี่หน่า....”
“พี่ครับ....” ยูชอนเรียกผมอีกรอบ
“จะแกล้งอีกรึไง...พักผ่อนซ่ะ” ผมจึง ดึงผ้าห่ม ขึ้นปิดอกของยูชอนไว้ เหมือนพ่อที่กำลังจะกล่อมลุกให้นอนไม่มีผิด
“ผมรักพี่...มั่นใจว่ารัก...ตั้งแต่แรกเจอ...เมื่อ 3 ปีที่แล้ว” ลำคอแห้งผาก ริมฝีปากสั่น ของคนตรงหน้าผมเอ่ยเสียงแหบแห้ง
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอึ้ง
มองคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
เมื่ออยู่ดีๆ ยูชอนก็เอ่ยคำที่ผมอยากจะบอกออกมาจากปากของเค้าเอง
“ สถานะของเรา คงไม่มีทางเป็นไปได้ ผมรู้ดี...ผมแค่ต้องการบอกพี่ ให้รับรู้ถึงจิตใจของผมบ้าง...มันอาจจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย ถ้าผมจะบอกว่า ที่ทำให้ลงไป ไว้ปลอบใจตัวเองว่า ผมได้เริ่มทำไปแล้ว แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จอย่างที่หวังก็ตาม...ผลที่ตาม มันอาจจะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แต่ผมพร้อมที่ยืดอกรับมันอย่างเต็มที่ ผมไม่คาดหวังคำตอบรับจากพี่ ขอแค่พี่รับรู้ไว้ก็พอ”
ยูชอน ยิ้มให้ผม ยิ้มที่ดูเหมือนฝืนใจนั้น ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
ในเมื่อผมเองยังอึ้งจนไม่สามารถจะตอบอะไรออกไปได้
“ผมไม่ได้เพ้อเพราะพิษไข้ แต่ทั้งหมดนี้ มันมาจากใจจริงของผมทั้งหมด”
ให้ตายเถอะ ชองยุนโฮ นายนี่มันโง่ ทำไมถึงดูไม่ออก ปล่อยให้คนที่รักและตัวเองต้องลำบากใจอยู่ตั้งนาน
.
“....นอนก่อนเถอะ... ไว้ตื่นมา เราค่อยคุยกันใหม่” ผมลูบหัวยูชอน 2-3 ที เค้าจึงหลับไป
ยูชอนหลับไปแล้ว
แต่หลังจากที่เค้าตื่นขึ้นมาล่ะ
พวกเราจะเป็นยังไงกันต่อไป
ผมได้แต่ยิ้มให้ตัวเองคนเดียวเหมือนคนบ้า สงสัยว่าผมต้องทำอะไรซักอย่างซะแล้ว..
***************************************
“ให้ตายเหอะ
นายตื่นมาทำมันได้ยังไงทุกเช้าฟระ
แจจุง” ผมบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังพยายามต้มโจ๊กให้ยูชอนอยู่
และก็เริ่มสำนึกบุญคุณของเพื่อนรักขึ้นมาอยากตะงิดๆ ที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำอาหารให้พวกเรากินกันได้ทุกวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
ผมใส่ทุกอย่างตามที่ตำราบอกแต่สภาพมันก็ออกมาเหมือนอาหารหมูมากกว่าที่จะเป็นโจ๊ก
แล้วท่านชายปาร์ค จะเสวยมันลงได้ยังไงล่ะเนี่ย
อ๊ะ!! ผมตกใจเมื่อหันไปที่หน้าประตูห้องครัวก็พบว่า ท่านชายปาร์คที่ว่ากำลังยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูนั่นเอง
เขินชะมัด
เกิดมาก็เพิ่งทำอะไรแบบนี้
แต่เพื่อนายนานๆที ก็โอเคนะ
“เมื่อเช้าเห็นแจจุงทำ นึกว่าง่าย เลยลองทำบ้าง...เปิดตำราก็แล้ว ยังยากอยู่ดี...พี่ว่า...โทรสั่งขึ้นมากินจะดีกว่าเน๊อะ...” พูดไปก็ดึงผ้ากันเปื้อนออกเขินๆ หยิบโทรศัพท์ในครัวขึ้นมา
“ไม่ต้องโทรหรอกครับ... ผมทานได้..ก็เคยทานมาตั้งหลายครั้งแล้ว...อีกสักครั้งคงไม่เป็นไร” พูดจบจึงหันหลัง จะออกจากครัวไป
“เดี๋ยว...ยูชอน...พี่จะตอบนาย...” ผมตัดสินใจที่จะพูดอะไรๆให้มันชัดเจนซะที ผมจะไม่รออีกต่อไปแล้ว
เมื่อยูชอนกล้าที่จะเป็นคนเริ่มต้น ผมก็จะสานต่อให้จบเอง
“พี่ดีใจ...ที่เราคิดตรงกัน...” เมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังฟังอย่างตั้งใจฟัง ผมจึงพูดต่อทันที
“พี่มันขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริง เหตุผลก็คงเหมือนกับของนาย กลัวมันจบ... ทั้งๆที่เพิ่งเริ่ม...” ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของยูชอน ประคองใบหน้าของเค้าเอาไว้ในมือ ใบหน้าที่ผมเฝ้าแต่แอบมองมาตลอด 3 ปี
“ ขอโทษที่บอกช้า...พี่รักนาย...มั่นใจว่ารักมาตั้งแต่ 3 ปี ที่แล้ว...ขอโทษที่บอกช้าไป..รักนายนะ...”
สิ้นคำบอกรัก จึงตามด้วยจูบหวานละมุนทาบที่ริมฝีปากอิ่มทันที ลิ้นเล็กๆภายในค่อยๆตอบรับอย่างอ่อนโยน หวานละมุนกว่าอื่นใดทั้งหมด เหมือนความรักที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ มัน อบอุ่น หอมหวาน ดูดดื่ม และอยากให้คงอยู่แบบนั้นตราบนานเท่านาน อ้อมกอดที่มีไว้เพื่อคนๆเดียว แต่กลับต่างจากทุกทีที่ได้สัมผัส วงแขนโอบกระชับแน่น ช่วยย้ำให้ชัดเจนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ไม่ใช่ความฝันอย่างทุกคืนที่ผ่านมา มันคือเรื่องราวจริงๆ ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น นับแต่วินาทีเป็นต้นไป..................................
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น